Slowly Slowly in the Wind
ผู้แต่ง: Patricia Highsmith
ผู้แปล: Kreangsak Thasit
อ่าน หรือ download ฉบับสองภาษา: ไทย , English (รูปแบบ pdf) ได้ที่
https://drive.google.com/file/d/0B48jqqkaDKCFUnE4UFBHeTQxenc/view?usp=sharing&resourcekey=0-JaqQi-yc4CdffypFi6w-WQ
(เนื่องจากGoogle Drive เปลี่ยนระบบใหม่ ทำให้ link เปลี่ยนไป ผู้เข้าชมไม่สามารถเปิดเอกสารที่ลงไว้โดยใช้ link เดิมได้ ผมจึงได้ลง link ใหม่นี้ไว้)
เอ็ดเวิร์ด (สกิพ) สกิพเพอร์ตัน ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาไปกับความรู้สึกโกรธกริ้ว มันเป็นธรรมชาติของเขา ตอนที่เขายังเด็กเขามีอารมณ์ร้าย ตอนนี้ เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เขาหงุดหงิดกับผู้คนที่ทำอะไรชักช้าหรือโง่เง่า เขามักจะพบกับคนประเภทนี้ในที่ทำงานซึ่งเขาจะต้องคอยให้คำแนะนำในเรื่องการจัดการบริษัท เขาทำหน้าที่การงานได้ดี เขาสามารถที่จะมองเห็นเมื่อผู้คนกำลังทำงานผิดวิธี และเขาก็บอกคนเหล่านั้นด้วยเสียงดังชัดเจนถึงวิธีการที่ดีกว่า บรรดากรรมการบริษัทจะทำตามคำแนะนำของเขาเสมอ
ตอนนี้สกิพเพอร์ตันอายุห้าสิบสอง ภรรยาทิ้งเขาไปเมื่อสองปีมาแล้วเพราะเธอไม่อาจทนอยู่กับอารมณ์ร้ายของเขาได้ เธอเจออาจารย์มหาวิทยาลัยผู้เงียบขรึมในบอสตัน เธอยุติชีวิตแต่งงานกับสกิพแล้วไปแต่งงานกับอาจารย์ผู้นั้น สกิพต้องการอย่างยิ่งที่จะได้สิทธิ์เลี้ยงดูลูกสาว แม็กกี้ ซึ่งตอนนั้นอายุสิบห้า ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาทนายผู้ชาญฉลาดเขาจึงประสบความสำเร็จในเรื่องนี้
ไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาแยกทางกับภรรยา สกิพเป็นโรคหัวใจ เขาอาการดีขึ้นในหกเดือน แต่หมอให้คำแนะนำบางประการแก่เขาอย่างหนักแน่น
"เลิกสูบบุหรี่เลิกดื่มเหล้าเสียเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นคุณจะตาย สกิพ! และผมคิดว่าคุณควรจะอำลาโลกธุรกิจเสียด้วย คุณได้เงินพอแล้ว ทำไมคุณไม่ซื้อฟาร์มเล็กๆ และอยู่อย่างเงียบสงบในชนบทล่ะ?"
ดังนั้นสกิพจึงหาซื้อฟาร์มเล็กๆ ในรัฐเมนพร้อมทั้งบ้านไร่ที่น่าอยู่หลังหนึ่ง มีแม่น้ำเล็กๆ ชื่อโคลสตรีมไหลผ่านท้ายไร่ และบ้านนั้นก็ได้ชื่อว่า โคลสตรีมไฮทส์ เขาจ้างคนในท้องถิ่น แอนดี้ ฮัมเบิร์ต มาอยู่และช่วยงานเขาที่ฟาร์ม
แม็กกี้ย้ายจากโรงเรียนเอกชนในนิวยอร์คไปเรียนที่สวิสเซอร์แลนด์ เธอจะกลับบ้านในวันปิดภาคเรียน สกิพเลิกสูบบุหรี่เลิกดื่มเหล้าได้แล้ว เมื่อเขาตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่างเขาก็จะทำโดยทันทีทุกครั้ง มีงานให้เขาทำในฟาร์ม เขาช่วยแอนดี้ปลูกข้าวโพดในไร่หลังบ้าน เขาซื้อแกะสองตัวเพื่อควบคุมหญ้าให้สั้น ซื้อหมูตัวหนึ่งซึ่งไม่ช้ามันก็ให้ลูกสิบสองตัว
มีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขารำคาญคือเพื่อนบ้านของเขา ปีเตอร์ ฟรอสบี เป็นเจ้าของที่ดินที่อยู่ถัดจากที่ดินของเขา รวมทั้งสองฝั่งแม่น้ำโคลสตรีมและสิทธิในการจับปลาในแม่น้ำ สกิพต้องการที่จะมีสิทธิ์ตกปลาได้บ้างสักเล็กน้อย เขายังอยากที่จะมีความรู้สึกว่าส่วนหนึ่งของแม่น้ำที่เขาสามารถมองเห็นจากบ้านได้นั้นเป็นของเขา แต่เมื่อเขาเสนอซื้อสิทธิในการตกปลาเขาก็ได้รับการบอกกล่าวว่าฟรอสบีปฏิเสธที่จะขาย สกิพไม่เลิกล้มความตั้งใจง่ายๆ สัปดาห์ต่อมาเขาโทรศัพท์ไปเชิญฟรอสบีมาดื่มที่บ้าน ฟรอสบีมาถึงในรถคาดิลแล็คคันใหม่ คนขับเป็นชายหนุ่ม เขาแนะนำตัวชายหนุ่มผู้นั้นว่าเป็นลูกชายของเขาซึ่งมีชื่อว่าปีเตอร์เหมือนกัน ฟรอสบีเป็นชายที่รูปร่างค่อนข้างเล็ก ผอม และมีนัยน์ตาสีเทาอันเย็นชา
"พวกฟรอสบีไม่ขายที่ดิน" เขากล่าว "พวกเราถือครองที่ดินผืนเดียวกันนี้มาเป็นเวลาเกือบ 300 ปี แล้ว และแม่น้ำก็เป็นของพวกเราเสมอมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณจึงต้องการมัน"
"ผมแค่อยากจะตกปลาสักเล็กน้อยในฤดูร้อน" สกิพกล่าว "และผมคิดว่าคุณจะเห็นด้วยว่าราคาที่ผมเสนอนั้นไม่เลวเลย สองหมื่นดอลล่าสำหรับสิทธิในการตกปลาประมาณ 200 เมตร คุณจะไม่ได้รับข้อเสนอที่ดีเช่นนี้อีกในชั่วอายุขัยของคุณเลยนะครับ"
"ผมไม่สนใจในเรื่องอายุขัยของผม" ฟรอสบีกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ "ผมมีลูกชายนี่ไง"
ลูกชายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ผมสีดำ ช่วงไหล่แข็งแรง มีส่วนสูงมากกว่าบิดาของเขา เขานั่งกอดอกอยู่ตรงนั้น และดูเหมือนจะมีทัศนคติในทางลบเช่นเดียวกับบิดาของเขา เขายังคงยิ้มอยู่ตอนที่พวกเขากำลังจะกลับ และพูดว่า "คุณทำให้บ้านหลังนี้ดูสวยงามมาก คุณสกิพเพอร์ตัน" สกิพพอใจ เขาได้พยายามอย่างหนักในการเลือกใช้เครื่องเรือนให้เหมาะสมที่สุดสำหรับห้องนั่งเล่น"
"ผมเห็นว่าคุณชอบของล้าสมัย" ฟรอสบีกล่าว "หุ่นไล่กาในไร่ของคุณตัวนั้น พวกเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นในบริเวณนี้มาหลายปีแล้ว"
"ผมกำลังพยายามปลูกข้าวโพดข้างนอกนั่น" สกิพกล่าว "ผมคิดว่าคุณจำเป็นต้องมีหุ่นไล่กาในไร่ข้าวโพด"
ปีเตอร์คนหนุ่มกำลังมองดูรูปของแม็กกี้ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะในห้องโถง "สาวสวย" เขากล่าว
สกิพไม่พูดอะไร การพบปะครั้งนี้ล้มเหลว สกิพไม่เคยล้มเหลวมาก่อน เขามองตาสีเทาอันเย็นชาของฟรอสบีแล้วกล่าวว่า "ผมมีความคิดอย่างหนึ่ง ผมจะเช่าที่ดินริมแม่น้ำตลอดชีวิตของผม ซึ่งเมื่อผมตายที่ดินก็จะกลับคืนไปเป็นของคุณ หรือของลูกชายคุณ ผมจะให้ค่าเช่าปีละห้าพันดอลล่า"
"ผมไม่คิดเช่นนั้น คุณสกิพเพอร์ตัน ขอบคุณสำหรับเครื่องดื่ม และ ลาก่อน"
"คนโง่" สกิพพูดกับแอนดี้ตอนที่คาดิลแล็คเคลื่อนออกไป แต่เขายิ้ม อย่างไรก็ตามชีวิตก็คือเกม บางครั้งคุณก็ชนะ บางครั้งคุณก็แพ้
ต้นเดือนพฤษภาคม ข้าวโพดที่พวกเขาปลูกเริ่มจะงอกโผล่พ้นดินขึ้นมา สกิพกับแอนดี้ทำหุ่นไล่กาโดยนำแท่งไม้มาต่อกัน แท่งหนึ่งเป็นลำตัวและหัว อีกแท่งหนึ่งเป็นแขนทั้งสองข้าง และอีกสองแท่งเป็นขา พวกเขาแต่งกายให้มันด้วยเสื้อคลุมและกางเกงเก่าๆ ที่แอนดี้หามาได้ และเอาหมวกเก่าๆ ของสกิพมาสวมไว้บนหัวของมัน
หลายสัปดาห์ผ่านไป และข้าวโพดก็เจริญเติบโตสูงขึ้น สกิพพยายามคิดหาวิธีก่อกวนฟรอสบี เพื่อบีบคั้นให้เขายอมให้เช่าแม่น้ำ
แต่เขาลืมเรื่องฟรอสบีเมื่อแม็กกี้กลับมาบ้านเนื่องในวันหยุดภาคฤดูร้อน
สกิพไปรับเธอที่ท่าอากาศยานในนิวยอร์ค และพวกเขาก็ขับรถไปรัฐเมน สกิพคิดว่าเธอดูสูงขึ้น และแน่นอนว่าเธอสวยขึ้น!
"พ่อเตรียมเรื่องประหลาดใจไว้ให้ลูกที่บ้าน" สกิพกล่าว
"โอ บางทีอาจเป็นม้าสักตัวหนึ่งกระมังคะ?"
สกิพลืมไปว่าเธอกำลังเรียนการขี่ม้า "ไม่ ไม่ใช่ม้า" เรื่องประหลาดใจคือรถโตโยต้าสีแดง อย่างน้อยเขาก็จำได้ว่าโรงเรียนของแม็กกี้สอนการขับรถให้เธอ เธอตื่นเต้นมากและโอบแขนเธอรอบคอสกิพ "โอ คุณพ่อขา คุณพ่อช่างน่ารักเหลือเกิน! และคุณพ่อก็ดูแข็งแรงมีสุขภาพดีมากด้วยค่ะ!"
สกิพกับแม็กกี้ไปขับรถคันใหม่ในเช้าวันต่อมา ในตอนบ่ายแม็กกี้ขออนุญาตคุณพ่อไปตกปลาในลำธาร เขาต้องบอกเธอว่าไม่อาจทำได้ และเขาก็อธิบายเหตุผล
"อ้อ ไม่เป็นไรค่ะ มีอย่างอื่นอีกเยอะแยะให้ทำ" แม็กกี้เพลิดเพลินกับการไปเดินเล่น อ่านหนังสือ และทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ
สกิพเกิดความประหลาดใจในเย็นวันหนึ่ง แม็กกี้มาถึงบ้านในรถโตโยต้าคันใหม่ของเธอโดยนำปลามาสามตัว เขากลัวว่าเธอได้ไปตกปลาในลำธารมาโดยขัดคำสั่งของเขา
"ลูกเอามันมาจากไหน?"
"หนูเจอชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ที่นั่น เราทั้งคู่ไปเติมน้ำมันรถ และเขาก็แนะนำตัว เขาบอกว่าเขาเห็นรูปหนูในบ้านคุณพ่อ แล้วเราก็ดื่มกาแฟด้วยกัน"
"เด็กครอบครัวฟรอสบีรึ?"
"ใช่ค่ะ เขาดีมาก บางทีอาจเป็นเฉพาะพ่อเขาเท่านั้นที่ไม่ดี เอ้อ พีทบอกว่า 'มาตกปลากับผมตอนบ่ายนี้สิ' และหนูก็ไป มันสนุกดี"
"พ่อไม่สนุก ได้โปรดเถอะแม็กกี้ พ่อไม่อยากให้ลูกไปคลุกคลีกับพวกฟรอสบี"
แม็กกี้ประหลาดใจ แต่ไม่พูดอะไร
วันต่อมา แม็กกี้บอกว่าเธออยากไปซื้อรองเท้าในหมู่บ้าน เธอออกไปเกือบสามชั่วโมง ด้วยความพยายามอย่างสูงสกิพไม่ได้ถามอะไรเธอ
แล้วในตอนเช้าวันเสาร์ แม็กกี้บอกว่ามีงานเต้นรำในเมืองใกล้ๆ และเธอจะไป
"พ่อเดาได้เลยว่าลูกจะไปกับใคร" สกิพกล่าวอย่างโมโห
"หนูจะไปคนเดียว หนูสัญญา เดี๋ยวนี้พวกผู้หญิงไม่จำเป็นต้องให้ผู้ชายพาไปเต้นรำหรอกค่ะ"
สกิพตระหนักดีว่าเขาไม่อาจสั่งเธอไม่ให้ไปงานเต้นรำ แต่เขารู้ว่าเจ้าเด็กหนุ่มฟรอสบีจะต้องไปที่นั่น และเขารู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ลูกสาวของเขากำลังตกหลุมรักพีท ฟรอสบี
คืนนั้นแม็กกี้กลับบ้านช้ามาก เป็นเวลาหลังจากที่สกิพเข้านอนแล้ว ตอนที่รับประทานอาหารเช้าเธอดูสดชื่นและมีความสุข
"พ่อคาดว่าเจ้าเด็กหนุ่มฟรอสบีคงจะอยู่ในงานเต้นรำนั่นด้วยกระมัง?" สกิพกล่าว
"หนูไม่รู้ว่าคุณพ่อต่อต้านเขาด้วยเรื่องอะไร"
"พ่อไม่อยากให้ลูกไปตกหลุมรักกับเด็กบ้านนอกที่ไร้การศึกษา พ่อส่งลูกเรียนโรงเรียนดีๆ นะ"
"พีทได้เรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสามปี" แม็กกี้ลุกขึ้นยืน "หนูอายุเกือบสิบแปดแล้วนะคะคุณพ่อ หนูไม่ต้องการให้ใครมาบอกว่าหนูจะสามารถคบหาหรือไม่อาจคบหากับผู้ใดได้"
สกิพตะเบ็งเสียงใส่เธอ "พวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่เราจะคบหาได้ด้วยดี!"
แม็กกี้ออกจากห้องไป
ในระหว่างสัปดาห์ถัดไปสกิพตกอยู่ในสถานะอันน่ากลัว ในการอาชีพทางธุรกิจของเขา เขาสามารถบีบคั้นผู้คนให้ทำตามที่เขาต้องการได้เสมอ แต่เขาไม่สามารถคิดหาวิธีที่จะทำเช่นนั้นกับลูกสาวของเขาได้
เย็นวันเสาร์ถัดมาแม็กกี้บอกว่าเธอจะไปงานเลี้ยง เป็นงานที่บ้านของเด็กหนุ่มชื่อวิลเมอร์สผู้ซึ่งเธอเจอในงานเต้นรำ เช้าวันอาทิตย์แม็กกี้ไม่ได้กลับมาบ้าน สกิพโทรศัพท์ไปที่บ้านของวิลเมอร์ส
เสียงเด็กหนุ่มบอกว่าแม็กกี้ออกจากงานเลี้ยงไปก่อนเวลา
"เธอไปคนเดียวหรือ?"
"ไม่ครับ เธอไปกับพีท ฟรอสบี เธอทิ้งรถของเธอไว้ที่นี่"
สกิพรู้สึกเลือดขึ้นหน้า มือของเขาสั่นขณะที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทร.ไปที่บ้านฟรอสบี เฒ่าฟรอสบีรับโทรศัพท์ เขาบอกว่าแม็กกี้ไม่ได้อยู่ที่นั่น และตอนนี้ลูกชายของเขาก็ไม่อยู่
"คุณหมายความว่าอะไร? คุณหมายความว่าก่อนหน้านี้เขาอยู่ที่นั่นและเขาออกไปข้างนอกหรือ?"
"คุณสกิพเพอร์ตัน ลูกชายผมเขามีวิถีของเขาเอง มีห้องของเขาเอง มีกุญแจของเขาเอง มีชีวิตของเขาเอง ผมจะไม่ไป-"
สกิพวางโทรศัพท์ลง
แม็กกี้ไม่อยู่บ้านในเย็นวันอาทิตย์หรือเช้าวันจันทร์ สกิพไม่ต้องการแจ้งตำรวจ ในวันอังคารมีจดหมายมาจากแม็กกี้ เขียนมาจากบอสตัน เขียนว่าเธอกับพีทหนีมาเพื่อแต่งงานกัน
คุณพ่ออาจคิดว่านี่มันกะทันหัน แต่เรารักกัน และเรารู้ว่าเรากำลังทำอะไร หนูไม่ต้องการกลับไปที่โรงเรียนจริงๆ โปรดอย่าพยายามตามหาหนู คุณพ่ออาจได้ข่าวจากหนูในสัปดาห์หน้า หนูเสียใจที่ทิ้งรถคันใหม่ที่แสนสวยของหนูไป
รักเสมอ
แม็กกี้
สองวันมาแล้วที่สกิพไม่ได้ออกไปจากบ้าน เขาแทบไม่กินอะไร เขารู้สึกเหมือนตายไปแล้วสามในสี่ แอนดี้กังวลเรื่องเขาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาจำเป็นต้องไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารเขาชวนสกิพไปกับเขาด้วย
ขณะที่แอนดี้กำลังซื้อของ สกิพนั่งอยู่ในรถ นัยน์ตาเหม่อลอย แต่ทันใดร่างหนึ่งที่กำลังเดินมาตามถนนก็ดึงดูดสายตาเขา เฒ่าฟรอสบีนั่นเอง!
เขาหวังว่าฟรอสบีจะไม่เห็นเขาที่อยู่ในรถ แต่ฟรอสบีเห็น เขาไม่ได้หยุดเดิน แต่เขาแย้มรอยยิ้มน้อยๆ แบบไม่เป็นมิตรในขณะที่เขาเดินผ่านไป ณ บัดนั้น สกิพก็ตระหนักได้ว่าเขาเกลียดฟรอสบีมากเพียงใด โลหิตเขาเดือดด้วยความกริ้ว และเขาก็รู้สึกดีขึ้นมากที่เขาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง ฟรอสบีจะต้องได้รับการลงโทษ! เขาเริ่มวางแผน
เย็นวันนั้น สกิพแนะนำแอนดี้ว่าเขาควรจะออกไปเที่ยวที่อื่นในวันสุดสัปดาห์และหาความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่ตัวเอง "เธอได้วันหยุดพักผ่อนแล้วนะ!" เขากล่าว และให้เงินเขาไปสามร้อยดอลล่า
แอนดี้ขับรถออกไปในตอนเย็นวันเสาร์ หลังจากนั้นสกิพก็โทรศัพท์ไปหาเฒ่าฟรอสบีและบอกว่าได้เวลาที่จะมาเป็นมิตรกันแล้ว เขาขอให้ฟรอสบีมาที่โคลสตรีมไฮทส์อีกครั้ง ฟรอสบีประหลาดใจแต่ก็ยอมที่จะมาในเวลาสิบเอ็ดโมงเช้าวันอาทิตย์เพื่อที่จะคุยกัน เขาขับรถคาดิลแล็คมาคนเดียว
สกิพปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว เขาเตรียมปืนขนาดหนักไว้พร้อม ทันทีที่ฟรอสบีเข้ามาทางประตูเขาตีหัวฟรอสบีด้วยปลายปืนหลายครั้งจนฟรอสบีตาย แล้วเขาก็ถอดเสื้อผ้าฟรอสบีออกและมัดรอบตัวเขาไว้ด้วยผ้าเก่าๆ เขาเผาเสื้อผ้าของฟรอสบีในเตาผิงและเอานาฬิกาและแหวนของเขาไปซ่อนไว้ในลิ้นชัก
จากนั้นสกิพก็เอาแขนข้างหนึ่งรัดรอบตัวฟรอสบีแล้วลากเขาออกจากบ้านแล้วเข้าไปในไร่ มุ่งไปยังหุ่นไล่กา ข้าวโพดถูกตัดไปเรียบร้อยแล้ว เขาดึงหุ่นไล่กาตัวเก่าลงมาแล้วถอดเสื้อผ้าออกจากแท่งไม้ เขาแต่งกายฟรอสบีด้วยเสื้อคลุมและกางเกงเก่า ผูกผ้าผืนเล็กไว้รอบใบหน้า และดันหมวกให้สวมเข้าไปบนหัวของเขา
เมื่อเขายกหุ่นไล่กาให้ยืนขึ้นอีกครั้งมันก็ดูเกือบจะเหมือนเดิม ขณะที่สกิพกลับมาบ้าน เขาหันไปรอบๆ หลายครั้งเพื่อแสดงการชื่นชมผลงานของเขา
เขาแก้ปัญหาการจัดการกับศพได้แล้ว
ขั้นต่อไปเขาฝังนาฬิกาและแหวนของฟรอสบีไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว และเขาต้องทำอะไรบางอย่างกับรถคาดิลแล็ค เขาขับมันเข้าไปในป่าห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรและทิ้งมันไว้ที่นั่นหลังจากเช็ดลายนิ้วมือของเขาออกหมดแล้ว เขาไม่เห็นผู้ใด
ไม่นานหลังจากที่เขากลับมาบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาจากบ้านของฟรอสบี (สกิพคิดว่าเป็นคนดูแลบ้านของฟรอสบี) ถามว่าฟรอสบีอยู่กับเขาหรือเปล่า เขาบอกเธอว่าฟรอสบีออกจากบ้านของเขาไปเมื่อประมาณสิบสองนาฬิกาและเขาไม่ได้บอกว่าจะไปไหน เขาพูดแบบเดียวกันนี้กับตำรวจที่มาพบเขาในตอนเย็น และกับแม็กกี้เมื่อเธอโทรศัพท์มาจากบอสตัน เขาพบว่ามันง่ายในการโกหกเรื่องฟรอสบี
แอนดี้กลับมาถึงในเช้าวันถัดไป คือวันจันทร์ เขาได้ยินเรื่องนี้มาแล้วจากในหมู่บ้าน และรู้ด้วยว่าตำรวจพบรถของฟรอสบีในป่าห่างไปไม่ไกล เขาไม่ได้ถามอะไร
ในสัปดาห์ถัดไปสกิพใช้เวลามากมายเฝ้าดูหุ่นไล่กาจากหน้าต่างห้องนอนชั้นบนของเขา เขานึกในใจอย่างเพลิดเพลินถึงศพของเฒ่าฟรอสบีที่อยู่ตรงนั้น กำลังแห้ง อย่างช้าๆ ช้าๆ ท่ามกลางสายลม
หลังจากสิบวันผ่านไปตำรวจกลับมาพร้อมกับนักสืบ พวกเขาตรวจค้นบ้านและที่ดินของสกิพ และพวกเขามองดูปืนสองกระบอกของเขา พวกเขาไม่พบอะไร
เย็นวันนั้น แม็กกี้มาหาเขา เธอกับพีทอยู่ที่บ้านของฟรอสบี เป็นการยากสำหรับสกิพที่จะเชื่อว่าเธอแต่งงานแล้ว
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน
"พีทรู้สึกวิตกและกลัดกลุ้มมาก" เธอกล่าว "คุณฟรอสบีท่าทางเป็นทุกข์หรือเปล่าตอนที่เขามาหาคุณพ่อ?"
สกิพหัวเราะ "เปล่า เขาสดชื่นร่าเริงมาก! และพอใจในการแต่งงาน ลูกจะไปอยู่ที่บ้านของฟรอสบีหรือ?"
"ค่ะ หนูจะเอาของบางอย่างกลับไปด้วย"
เธอรู้สึกหนาวและเศร้าใจ ซึ่งทำให้สกิพไม่มีความสุข
"ผมรู้ว่าอะไรอยู่ในหุ่นไล่กา" แอนดี้กล่าวขึ้นมาในวันหนึ่ง
"อย่างนั้นรึ? แล้วเธอจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น?" สกิพถาม
"ไม่ครับ ไม่ทำอะไร" แอนดี้ตอบพร้อมกับยิ้ม
"บางทีเธอคงอยากได้เงินสักหน่อยหรือเปล่า แอนดี้? ของขวัญเล็กน้อย สำหรับการเก็บเงียบเข้าไว้?"
"ไม่ครับ" แอนดี้กล่าวเบาๆ "ผมไม่ใช่คนแบบนั้น"
สกิพไม่เข้าใจ เขาคุ้นเคยกับคนที่ชอบเงิน เงินจำนวนมากและมากขึ้นอีกเรื่อยๆ แอนดี้นั้นต่างออกไป เขาเป็นคนดี
ใบไม้กำลังหลุดร่วงจากต้น และฤดูหนาวกำลังมา เด็กๆ แถวนั้นกำลังเตรียมพร้อมที่จะเฉลิมฉลองเย็นวันที่ 31 ตุลาคม ยามที่ผู้คนสวมเครื่องแต่งกายชุดพิเศษและรับประทานอาหารพิเศษ และก่อกองไฟอันยิ่งใหญ่ไว้ด้านนอกและเต้นรำไปรอบๆ และร้องเพลง
ไม่มีใครมาที่บ้านของสกิพในเย็นวันนั้น มีงานเลี้ยงที่บ้านของฟรอสบี เขาได้ยินเสียงดนตรีมาแต่ไกล เขานึกภาพลูกสาวกำลังเต้นรำ เธอมีวันเวลาอันแสนสุข สกิพรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา เปล่าเปลี่ยว เขาอยากดื่มสุราเป็นอย่างมาก แต่เขาตัดสินใจที่จะรักษาสัญญาต่อตนเองเอาไว้
ในตอนนั้น เขาเห็นจุดแสงเคลื่อนไหวอยู่นอกหน้าต่าง เขามองออกไป มีร่างของคนกลุ่มหนึ่งกำลังถือไฟฉายเดินข้ามท้องไร่ของเขาไป ความโกรธและความกลัวเข้าจู่โจมเขาอย่างกะทันหัน พวกนั้นอยู่บนที่ดินของเขา! พวกเขาไม่มีสิทธิ์! และเขาเข้าใจว่าคนเหล่านั้นคือพวกเด็กๆ ร่างเหล่านั้นมีขนาดเล็ก
เขาวิ่งลงมาข้างล่างและออกไปยังท้องไร่ "พวกเธอคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่?" เขาตะโกน "ออกไปจากที่ดินของฉันนะ!"
เด็กๆ ไม่ได้ยินเสียงเขา พวกเขากำลังร้องเพลง "พวกเรากำลังจะไปเผาหุ่นไล่กา..."
"ออกไปจากที่ดินของฉัน!" สกิพหกล้มและบาดเจ็บที่หัวเข่า ตอนนี้เขาแน่ใจว่าเด็กๆ ได้ยินเขา แต่พวกเขาไม่หยุด พวกเขากำลังจะไปถึงหุ่นไล่กาก่อนเขา เขาได้ยินเสียงร้อง พวกเขาไปถึงแล้ว
มีเสียงร้องหนักขึ้นไปอีก เสียงแห่งความหวาดกลัวผสมกับความสนุกสนาน
บางทีมือของพวกเขาอาจไปแตะต้องศพเข้าแล้ว
สกิพย้อนกลับมาบ้าน มันแย่ยิ่งกว่าตำรวจ เด็กทุกคนกำลังจะไปบอกพ่อแม่ว่าเขาพบอะไร สกิพรู้ว่าเขามาถึงจุดจบแล้ว เขาเคยเห็นผู้คนมากมายในแวดวงธุรกิจถึงจุดจบ เขาเคยรู้จักคนที่โดดหน้าต่าง
สกิพตรงไปที่ปืนของเขา เขาเอาปากกระบอกปืนใส่ปาก แล้วยิง เมื่อเด็กๆ วิ่งข้ามท้องไร่กลับมาที่ถนน สกิพก็ตายแล้ว
แอนดี้ซึ่งอยู่ในห้องของเขาในโรงรถได้ยินเสียงปืน เขาเห็นเด็กๆ ข้ามท้องไร่มาเช่นกัน และได้ยินสกิพตะโกน เขาเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น
เขาเริ่มเดินไปที่บ้าน เขาจะต้องเรียกตำรวจ แอนดี้ตัดสินใจที่จะพูดว่าเขาไม่รู้อะไรเรื่องศพที่แต่งกายในชุดหุ่นไล่กา อย่างไรก็ตามเขาอยู่ที่อื่นในวันสุดสัปดาห์นั้น
- จบ -